หากย้อนกลับไปสัก 10–15 ปีก่อน ภาพที่คนเราจะเดินถือมือถือและใช้งานอยู่ตลอดเวลาอาจเป็นสิ่งที่ไม่ค่อยพบเห็นบ่อย แต่ในปัจจุบัน คงปฏิเสธไม่ได้ว่ามือถือได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันเราไปแล้ว ไม่ว่าจะใช้ในการสื่อสาร ทำงาน เรียนรู้ หรือแม้กระทั่งพักผ่อนหย่อนใจ มือถือจึงเป็นอุปกรณ์ที่พกติดตัวไปด้วยเสมอ แล้วคุณเคยคิดไหมว่า ชีวิตของคุณในวันนี้ห่างจากมือถือได้มากแค่ไหน?
ทำไมมือถือถึงสำคัญขนาดนี้?
ก่อนอื่นต้องเข้าใจว่าทำไมมือถือถึงกลายมาเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ในชีวิตประจำวัน หลายปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้มือถือเป็นอุปกรณ์ที่คนส่วนใหญ่ถือว่าจำเป็น ได้แก่
- การเชื่อมต่อและสื่อสาร – มือถือทำให้เราสามารถสื่อสารกับเพื่อน ครอบครัว และเพื่อนร่วมงานได้ทันที ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน
- แหล่งข้อมูลและข่าวสาร – มือถือทำให้เราเข้าถึงข่าวสารและข้อมูลได้อย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง ทุกข่าวหรือเรื่องราวสามารถรู้ได้แค่เพียงไม่กี่คลิก
- การทำงานและธุรกิจ – ในโลกของการทำงาน การตอบอีเมล การตรวจสอบเอกสาร และการประชุมออนไลน์ทำให้การทำงานสะดวกมากขึ้นผ่านมือถือ
- ความบันเทิงและพักผ่อน – การชมวิดีโอ การเล่นเกม หรือการท่องโซเชียลมีเดียก็เป็นความบันเทิงที่มือถือมอบให้เราได้ทุกที่ทุกเวลา
คุณห่างมือถือได้มากแค่ไหน?
ช่วงเวลาทำงาน
คนจำนวนมากใช้มือถือเป็นเครื่องมือการทำงาน ไม่ว่าจะเป็นการตอบอีเมล การประชุมออนไลน์ หรือการติดตามข่าวสารธุรกิจ ทำให้การห่างจากมือถือเป็นเรื่องยาก โดยเฉพาะกลุ่มคนที่ทำงานแบบรีโมทหรือฟรีแลนซ์ที่จำเป็นต้องใช้งานมือถือในการติดต่อประสานงานและรับงานแบบเรียลไทม์ช่วงเวลาเรียนหรือการประชุม
สำหรับนักเรียนหรือพนักงานในบริษัท การห่างจากมือถือระหว่างเรียนหรือประชุมมักจะเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เนื่องจากการต้องการโฟกัสกับเนื้อหาของบทเรียนหรือการประชุม แต่ก็มีหลายคนที่อาจรู้สึกว่าอยากตรวจดูมือถือเป็นช่วง ๆ ซึ่งเป็นการท้าทายของความสามารถในการควบคุมตัวเองช่วงเวลาพักผ่อน
การใช้มือถือในช่วงเวลาพักผ่อนก็เป็นสิ่งที่คนส่วนใหญ่ทำกันจนกลายเป็นนิสัย เช่น การดูซีรีส์หรือวิดีโอในโซเชียลมีเดียก่อนนอน การเลื่อนหน้าจอในโซเชียลมีเดียเมื่อพักกลางวัน จนทำให้การพักผ่อนที่แท้จริงถูกแทรกแซงด้วยการใช้งานมือถือช่วงเวลาอยู่กับครอบครัวหรือเพื่อน
แม้ว่าจะเป็นช่วงเวลาที่ควรห่างมือถือมากที่สุดเพื่อใช้เวลาร่วมกับคนที่เรารัก แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าหลายคนยังคงใช้มือถืออยู่ดี ไม่ว่าจะเป็นการเช็คข้อความ การถ่ายรูป หรือการเช็คข่าวสาร ซึ่งบางครั้งอาจทำให้การใช้เวลาร่วมกันลดลงโดยไม่รู้ตัว
ผลกระทบของการห่างมือถือและการใช้งานมือถือเกินพอดี
การห่างจากมือถืออาจทำให้เกิดความรู้สึกขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไป แต่ในขณะเดียวกัน การใช้งานมือถือเกินพอดีก็มีผลกระทบเช่นกัน เช่น
- สุขภาพจิต – การใช้มือถือมากเกินไปอาจทำให้เกิดความเครียดและภาวะซึมเศร้าได้ โดยเฉพาะเมื่อเรามีความรู้สึกว่าต้องเชื่อมต่อกับโลกออนไลน์ตลอดเวลา
- สุขภาพกาย – การจ้องจอมือถือตลอดเวลาอาจส่งผลให้เกิดปัญหาสายตา เช่น ตาล้า หรือปวดหัว รวมถึงการที่เราใช้งานมือถือตลอดเวลายังส่งผลให้มีการใช้ร่างกายที่ไม่เหมาะสมเช่น การก้มคอตลอดเวลาจนทำให้ปวดหลัง
- การขาดสมาธิ – การใช้งานมือถือที่มากเกินไปอาจทำให้สมาธิของเราสั้นลง เพราะเรามักจะเช็คมือถืออยู่เสมอ แม้จะไม่ได้มีข้อความหรือการแจ้งเตือนใด ๆ
วิธีลดการใช้มือถือในชีวิตประจำวัน
ตั้งเป้าหมายการใช้งานมือถือ
ลองตั้งเวลาในการใช้มือถือในแต่ละวัน เช่น จำกัดเวลาใช้งานโซเชียลมีเดียให้ไม่เกิน 1 ชั่วโมง หรือห้ามใช้งานมือถือระหว่างเวลา 20:00 - 08:00 น.ปิดการแจ้งเตือนที่ไม่จำเป็น
การแจ้งเตือนเป็นสิ่งที่ดึงดูดความสนใจเราได้ดีเยี่ยม หากเราอยากห่างมือถือ ลองปิดการแจ้งเตือนที่ไม่จำเป็น เช่น การแจ้งเตือนจากโซเชียลมีเดียใช้เทคโนโลยีช่วยควบคุม
หลายแอปพลิเคชันและมือถือเองมีฟีเจอร์ช่วยในการควบคุมเวลาใช้งาน เช่น การจำกัดเวลาการใช้งานแอปพลิเคชัน ซึ่งจะช่วยเตือนเราเมื่อเราใช้งานเกินเวลาที่กำหนดหาเวลากิจกรรมที่ไม่ต้องใช้มือถือ
ลองทำกิจกรรมที่ไม่ต้องใช้มือถือ เช่น การอ่านหนังสือ วาดภาพ หรือออกไปเดินเล่นที่สวนสาธารณะ ทำให้ร่างกายได้พักจากหน้าจอมือถือและมีเวลากับตัวเองมากขึ้นวางมือถือไว้ห่างตัวเมื่อไม่จำเป็น
การวางมือถือให้ห่างตัว เช่น วางไว้ในห้องอื่น หรือเก็บไว้ในกระเป๋าเมื่อออกไปทำกิจกรรม จะช่วยลดความอยากในการหยิบมือถือขึ้นมาใช้
บทสรุป
แม้ว่ามือถือจะเป็นส่วนสำคัญในชีวิตประจำวันของเรา แต่การห่างจากมือถือบางครั้งอาจเป็นสิ่งที่ดีต่อสุขภาพทั้งกายและจิตของเรา เราอาจไม่จำเป็นต้องห่างมือถืออย่างสิ้นเชิง แต่อาจลองตั้งเป้าหมายในการใช้งานให้เหมาะสมกับกิจกรรมที่ทำอยู่ เพื่อให้ชีวิตมีสมดุลที่ดีขึ้นและสามารถใช้เวลาไปกับสิ่งที่สำคัญอย่างแท้จริง