ไข่แหน, ไข่น้ำ, ไข่ขำ หรือ ผำ (ชื่อวิทยาศาสตร์: Wolffia globosa) เป็นพืชมีดอกขนาดเล็กที่สุดในโลก จัดอยู่ในวงศ์ Lemnaceae สกุล Wolffia ซึ่งอาศัยลอยอยู่บนผิวน้ำ มีลักษณะรูปร่างรี ๆ ค่อนข้างกลม ขนาดยาวประมาณ 1 มิลลิเมตร แต่ละต้นมีสีเขียว ไม่มีรากและใบ ประกอบด้วยเซลล์ชนิดพาเรงคิมาเป็นส่วนใหญ่ มีช่องอากาศแทรกอยู่ระหว่างเซลล์ ทำให้เห็นเป็นฟองน้ำ และช่วยให้พืชลอยตัวอยู่ในน้ำได้ นอกจากนี้ ยังไม่มีเนื้อเยื่อที่ทำหน้าที่นำน้ำและอาหาร แต่มีช่องให้อากาศเข้าออกได้อยู่ทางบนของต้น ไข่แหนสามารถพบได้ในหลายภูมิภาคทั่วโลก รวมถึงยุโรป แอฟริกากลาง มาดากัสการ์ เอเชีย และบางส่วนของบราซิล อินโดนีเซีย และออสเตรเลีย
นอกจากลักษณะทางชีววิทยาที่น่าสนใจแล้ว ไข่ผำยังเป็นพืชน้ำที่ใช้เป็นวัตถุดิบในอาหารมาตั้งแต่สมัยโบราณ ไม่ว่าจะนำไปทำแกง ผัด หรือใช้เพิ่มรสชาติให้กับอาหารโดยให้ความหอม มัน และอร่อยมากยิ่งขึ้น
แต่ไข่ผำไม่ได้เป็นแค่วัตถุดิบในครัวเท่านั้น มันยังเต็มไปด้วยคุณค่าทางสารอาหารอย่างมากมาย ด้วยปริมาณโปรตีนสูงถึง 40% ของน้ำหนักแห้ง ซึ่งเปรียบเทียบได้กับโปรตีนในถั่วเหลือง และในบางพื้นที่ ไข่ผำยังมีโปรตีนสูงกว่าไข่และเนื้อสัตว์เสียอีก
ในไข่ผำ 100 กรัม มีพลังงานเพียง 8 กิโลแคลอรี แต่มีแร่ธาตุและวิตามินหลากหลาย เช่น แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก วิตามินเอ บี1 บี2 วิตามินซี ไนอะซิน และกรดอะมิโนที่จำเป็นต่างๆ รวมถึงเบต้าแคโรทีนและคลอโรฟิลล์ที่มีโครงสร้างคล้ายกับฮีมในฮีโมโกลบินของเลือดมนุษย์
งานวิจัยยังรายงานถึงคุณสมบัติต่างๆ ของไข่ผำ เช่น ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ รักษาอาการท้องผูก ต้านการติดเชื้อ ปรับสภาพร่างกายให้เป็นด่างในผู้ที่มีความเครียด หรือภาวะกรดจากอาหาร รวมถึงช่วยรักษาภาวะซีดในผู้ป่วยโรคโลหิตจาง
ด้วยประโยชน์ที่หลากหลายและเหนือกว่าที่ใครจะคาดคิด กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จึงได้กำหนดนโยบายอาหารแห่งอนาคต (Future Food Policy) ซึ่งรวมถึงการส่งเสริมไข่ผำ หรือที่เรียกว่า "คาเวียร์เขียว" ให้เป็นพืชเศรษฐกิจใหม่ของไทย ได้รับการยอมรับว่าเป็นซูเปอร์ฟู้ดระดับโลก เพราะไข่ผำมีคุณค่าทางโภชนาการที่ครบถ้วนและสูงมาก ทั้งวิตามิน แร่ธาตุ ไฟเบอร์ และโปรตีน ทำให้มันกลายเป็นอาหารแห่งอนาคตที่ตอบโจทย์การบริโภคในยุคใหม่นี้อย่างแท้จริง