เคยไหมที่เห็นเนื้อสัตว์บนจานมีประกายสีรุ้งแวววาว แล้วสงสัยว่ามันคืออะไร กินเข้าไปแล้วจะปลอดภัยหรือไม่? ในบทความนี้ เราจะพาคุณไปรู้จักกับปรากฏการณ์ "สีรุ้งบนเนื้อสัตว์" และไขข้อสงสัยว่าเนื้อสัตว์แบบนี้กินได้หรือไม่
สีรุ้งบนเนื้อสัตว์คืออะไร?
สีรุ้งบนเนื้อสัตว์คือปรากฏการณ์ทางกายภาพที่เกิดจากการกระเจิงของแสงเมื่อแสงตกกระทบกับผิวเนื้อสัตว์ ปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นเนื่องจากโครงสร้างกล้ามเนื้อของเนื้อสัตว์ที่มีการเรียงตัวกันในรูปแบบที่ทำให้เกิดการสะท้อนแสงเป็นสีรุ้ง
สาเหตุของสีรุ้งบนเนื้อสัตว์
- การสะท้อนแสง: เมื่อแสงตกกระทบกับเนื้อสัตว์ในมุมที่เหมาะสม แสงจะสะท้อนกลับออกมาในลักษณะที่ทำให้เห็นเป็นสีรุ้ง
- การเจียระไนของเนื้อสัตว์: การเจียระไนเนื้อสัตว์หรือการตัดเนื้อในลักษณะเฉพาะที่ทำให้เนื้อมีผิวเรียบและเป็นมันเงา
- ประเภทของเนื้อสัตว์: เนื้อสัตว์บางประเภท เช่น เนื้อวัวหรือเนื้อหมู มีโครงสร้างกล้ามเนื้อที่ทำให้เกิดปรากฏการณ์สีรุ้งได้ง่ายกว่าเนื้อสัตว์ประเภทอื่น
กินแล้วอันตรายไหม?
ปลอดภัยหรือไม่?
สีรุ้งบนเนื้อสัตว์โดยทั่วไปไม่ถือว่าเป็นอันตรายต่อสุขภาพ ตราบใดที่เนื้อสัตว์ยังคงสดใหม่และถูกเก็บรักษาอย่างถูกวิธี ปรากฏการณ์สีรุ้งไม่ได้เกิดจากการเน่าเสียหรือปนเปื้อนของเชื้อโรค แต่เป็นเพียงปรากฏการณ์ทางกายภาพที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ
ล่าสุด ดร.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ อาจารย์ประจำภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้หยิบยกเรื่องนี้มาให้ความรู้อีกครั้งผ่านทางเฟซบุ๊ก Jessada Denduangboripant โดยระบุว่า เนื้อหมูที่ผ่านการให้ความร้อน ต้ม ย่าง ฯลฯ แล้ว รวมถึงเนื้อสัตว์ชนิดอื่น (เช่น เนื้อวัว เนื้อเป็ด) มีสีเหลือบ ออกรุ้งๆ แบบนี้ "เป็นเรื่องปกติ" ภาษาอังกฤษเรียกว่า iridescent meat เกิดขึ้นกับเนื้อสัตว์ที่ผ่านการให้ความร้อนแล้ว โดยแสงที่ตกกระทบบนเนื้อ จะแยกสเปกตรัมออกเป็นสีๆ เหมือนเห็นสายรุ้งบนท้องฟ้า
กระบวนการเกิดสีรุ้งบนเนื้อสัตว์
กระบวนการนี้เรียกว่า การเลี้ยวเบน (diffraction) ของแสง จากการที่เนื้อนั้นประกอบด้วยเส้นใยของกล้ามเนื้อที่อัดกันแน่นในแนวขนานกัน เมื่อเราหั่นเนื้อ ปลายของเส้นใยที่ถูกตัดจากไม่เรียบสนิทแต่จะเป็นร่องๆ เมื่อแสงขาวตกกระทบร่องดังกล่าว แสงบางความยาวคลื่นก็จะถูกดูดกลืนลงไปในเนื้อ ขณะที่แสงส่วนอื่นสะท้อนออกมา ขึ้นกับความยาวคลื่นที่จำเพาะของมัน
ผลที่ได้จึงเห็นเป็นสีรุ้งๆ เหลือบๆ เหมือนกับที่เราดูแสงสะท้อนบนแผ่นซีดี หรือบนฟองสบู่ และการที่เราให้ความร้อนกับเนื้อ เช่น ปิ้งหรือย่างแล้ว ยิ่งทำให้การจับตัวของกล้ามเนื้อแน่นขึ้นไปอีก เราจึงมักจะเห็นสีรุ้งนี้ในเนื้อที่ผ่านความร้อนแล้ว มากกว่าเนื้อดิบ ขณะที่ถ้าเราไปดูพวกเนื้อเบอร์เกอร์ ที่เนื้อผ่านการบดมาก่อนจะมาขึ้นรูปและไปทอด ก็จะไม่เห็นสีรุ้งนี้ เพราะเส้นใยในเนื้อมันไม่ได้เรียงตัวขนานกันอย่างเหมาะสมอีกต่อไป นอกจากนี้ ยังมีอีกหลายปัจจัยที่ส่งผลต่อการเกิดสีรุ้งของเนื้อ ตั้งแต่ทิศทางในการหั่นตัดเนื้อ ความคมของมีดที่ใช้ การหมักเนื้อ การบ่มเนื้อ ปริมาณของไขมัน
การระวังเนื้อดิบ
แต่ถ้าเกิดเห็นสีรุ้งๆ บน "เนื้อดิบ" อันนี้ต้องระวัง เพราะอาจจะเกิดจากการปนเปื้อนเชื้อจุลินทรีย์ได้ ซึ่งเวลามันโตบนผิวหน้าของเนื้อจะเกิดเป็นฟิล์มบางขึ้น และทำให้สะท้อนแสงเป็นสีต่างๆ เช่นกัน วิธีทดสอบคือลองกระดาษทิชชู่มาห่อเนื้อไว้ ถ้าเวลาผ่านไปแล้วสีรุ้งหายไป เนื้อนั้นน่าจะมีเชื้อปนเปื้อนแล้วล่ะ ค่อยทิ้งไป อย่าเสียดาย
วิธีตรวจสอบความปลอดภัยของเนื้อสัตว์
- กลิ่น: เนื้อสัตว์ที่สดใหม่ควรมีกลิ่นหอมแบบเนื้อสัตว์ ไม่มีกลิ่นเหม็นหรือกลิ่นเปรี้ยว
- สี: เนื้อสัตว์ที่สดใหม่ควรมีสีแดงหรือสีชมพู ไม่ควรมีสีเขียวหรือสีดำ
- เนื้อสัมผัส: เนื้อสัตว์ที่สดใหม่ควรมีเนื้อสัมผัสที่นุ่ม ไม่เหนียวหรือแห้งเกินไป
- วันหมดอายุ: ตรวจสอบวันหมดอายุบนบรรจุภัณฑ์เพื่อความมั่นใจว่าเนื้อสัตว์ยังคงอยู่ในช่วงเวลาที่สามารถบริโภคได้อย่างปลอดภัย
การเก็บรักษาเนื้อสัตว์ให้ปลอดภัย
เพื่อความปลอดภัยของการบริโภคเนื้อสัตว์ ควรเก็บรักษาเนื้อสัตว์ในตู้เย็นที่อุณหภูมิไม่เกิน 4 องศาเซลเซียส และควรเก็บเนื้อสัตว์ในภาชนะที่มีฝาปิดเพื่อป้องกันการปนเปื้อนจากเชื้อโรคและการสะสมของกลิ่นไม่พึงประสงค์
สรุป
สีรุ้งบนเนื้อสัตว์คือปรากฏการณ์ทางกายภาพที่เกิดจากการสะท้อนแสง ไม่ได้เป็นอันตรายต่อสุขภาพตราบใดที่เนื้อสัตว์ยังคงสดใหม่และถูกเก็บรักษาอย่างถูกวิธี ดังนั้นหากคุณเห็นเนื้อสัตว์มีสีรุ้งบนผิว ก็ไม่ต้องกังวลใจเกินไป เพียงแค่ตรวจสอบความสดใหม่ของเนื้อสัตว์ตามวิธีที่ได้กล่าวมา และคุณก็สามารถบริโภคเนื้อสัตว์ได้อย่างปลอดภัย
หวังว่าบทความนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจเรื่องราวเกี่ยวกับสีรุ้งบนเนื้อสัตว์และสามารถเลือกบริโภคเนื้อสัตว์ได้อย่างมั่นใจมากขึ้น!